เมนูนำทาง
คอลิด อิบน์ อัลวะลีด สมัยอบูบักร์ (ค.ศ. 632–634)หลังจากมุฮัมมัดเสียชีวิต เผ่าอาหรับหลายเผ่าได้ก่อกบฏต่อรัฐเคาะลีฟะฮ์ เคาะลีฟะฮ์อบูบักร์ได้ส่งทหารไปปราบกบฎและผู้ละทิ้งศาสนา[34] คอลิดจึงเป็นหนึ่งในแม่ทัพที่อบูบักร์สั่งให้มีการวางแผนในสงครามริดดะฮ์โดยให้คำแนะนำว่าเขาต้องเป็นแม่ทัพนำชาวมุสลิมไปที่คาบสมุทรอาหรับตอนกลาง บริเวณที่เป็นศูนย์กลางของกบฎ และมีความเสี่ยงที่พวกเขาจะโจมตีมะดีนะฮ์ได้ง่าย[35]
ในช่วงกลางเดือนกันยายน ค.ศ. 632 คอลิดรบชนะตุลัยฮะฮ์[36]หนึ่งในกบฎที่อ้างตนเองว่าเป็นศาสดาเพื่อที่จะให้ผู้คนสนับสนุนตนเอง จนอำนาจของตนเองได้หมดลงหลังจากแพ้ในสงครามคอมรา[34] หลังจากนั้นคอลิดได้ไปที่นัคราและกำจัดกบฎจากบนูซาลีมในสงครามนัครา สุดท้ายคอลิดได้ครอบครองทั้งแคว้นหลังจากสงครามซาฟัรโดยสู้รบชนะซัลมาในเดือนตุลาคม ค.ศ. 632[37]
ตอนนี้แคว้นรอบเมืองมะดีนะฮ์เป็นของมุสลิมแล้ว คอลิดจึงนำทัพไปที่แคว้นนัจญ์ ที่มั่นของเผ่าบนูตะมีม. มีหลายพวกที่ยอมพบคอลิดและกฎหมายของเคาะลีฟะฮ์ แต่มาลิก อิบน์ นูวัยเราะฮ์ หัวหน้าเผ่าบนูยัรบูอ์เลี่ยงการติดต่อกับคอลิดและบอกให้ผู้ติดตามแยกย้ายกันหนี โดยที่ครอบครัวของเขาจะหนีไปทางทะเลทราย[38] พร้อมกับประกาศเป็นศัตรูกับรัฐเคาะลีฟะฮ์โดยมีความร่วมมือกับซัจญะฮ์ ผู้หญิงที่อ้างตนเองว่าเป็นศาสดา[39] หลังจากนั้นมาลิกถูกจับพร้อมกับผู้คนของเขา[40] และคอลิดถามว่าทำไมถึงทำอย่างนี้ เขาได้ตอบว่า: "นายของเจ้าได้พูดอย่างนี้ นายของเจ้าได้พูดอย่างนั้น" คอลิดจึงประกาศว่ามาลิกเป็นกบฎผู้ละทิ้งศาสนาพร้อมกับประหารชีวิต[41]
หลังจากการเสียชีวิตของมาลิกแล้ว คอลิดได้จับลัยลา บินต์ อัลมินฮัล ทำให้เกิดข้อโต้แย้ง ทหารของเขาซึ่งรวมไปถึงอบูกอตออะฮ์เชื่อว่าคอลิดฆ่ามาลิกเพื่อเอาภรรยามาเป็นของเขา จนเรื่องนี้ถึงหูของอุมัรที่ปรึกษาของอบูบักร์ แล้วอบูบักรได้เรียกคอลิดให้เข้าพบเพื่ออธิบายว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้[42]
คอลิดได้รบชนะมุซัยลิมะฮ์ คนที่อ้างตนเองว่าเป็นศาสดาในสงครามยะมามะฮ์เมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ. 632 มุซัยลีมะฮ์ถูกฆ่าในสนามรบ และเผ่าที่เป็นกบฏก็ถูกทำลายหมดสิ้น[34]
หลังจากที่ทำลายกบฏหมดแล้วทั้งคาบสมุทรอาหรับจึงอยู่ภายใต้รัฐเคาะลีฟะฮ์ อบูบักร์ต้องการที่จะขยายอาณาจักร[43] จึงส่งคอลิดไปที่อาณาจักรเปอร์เซียพร้อมกับทหาร 18,000 นาย เพื่อยึดครองเมโสโปเตเมียตอนล่าง (ปัจจุบันคือประเทศอิรัก)[44] โดยก่อนที่จะสู้รบนั้น เขาได้เขียนจดหมายไปยังฝ่ายเปอร์เซียว่า:
จงยอมรับอิสลามแล้วเจ้าจะปลอดภัย หรือจะยอมจ่ายจิซยะฮ์ (ภาษี) คุณและผู้คนของเจ้าจะอยู่ในการป้องกันของเรา ไม่เช่นนั้นเจ้าจะต้องโทษแต่ตนเองสำหรับผลที่ตามมา เนื่องจากฉันจะเป็นผู้ทำให้เจ้าตายสมกับที่เจ้ามีชีวิต[45]— คอลิด อิบน์ วะลีด
เขาได้รับชัยชนะอย่างรวดเร็วในสี่สมรภูมิ ได้แก่: สงครามโซ่ ในเดือนเมษายน ค.ศ. 633; สงครามแม่น้ำ ในช่วงสามสัปดาห์ของเดือนเมษายน ค.ศ. 633; สงครามวาลาจา ในช่วงเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 633 และสงครามอุลลัยส์ ในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 633[46] ในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 633 อัลฮิราเมืองหลวงประจำแคว้นเมโสโปเตเมียตอนล่างตกเป็นของมุสลิม โดยชาวเมืองยอมจ่ายจิซยะฮ์ (ภาษี) และสัญญาว่าจะช่วยฝ่ายมุสลิม[47] หลังจากให้กองทัพพักผ่อนแล้ว คอลิดได้นำกองทัพบุกเมืองอันบาร์ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 633 แล้วล้อมเมืองจนกระทั่งพวกเขายอมแพ้ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 633[48] แล้วไปทางตอนได้พร้อมกับยึดเมืองอัยนุลตัมร์ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 633[49]
ตอนนี้เกือบทั้งเมโสโปเตเมียตอนล่าง (แคว้นยูเฟรทีสตอนเหนือ) อยู่ภายใต้การควบคุมของคอลิดแล้ว แต่มีจดหมายถึงคอลิดว่าที่ดุมาตุลญันดัล อิยาด อิบน์ คันม์ ถูกล้อมรอบโดยพวกกบฎ คอลิดจึงต้องลงไปจัดการกับกบฎในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 633[46] ในตอนที่เขาคอลิดกำลังกลับไปที่เมโสโปเตเมีย คอลิดได้บอกว่า เขาแอบไปที่มักกะฮ์เพื่อไปทำ ฮัจญ์[50]
ในตอนที่เขากลับมาจากอารเบีย คอลิดได้รู้จากคนสอดแนมว่ามีกองกำลังทหารเปอร์เซียและชาวอาหรับคริสเตียนขนาดใหญ่[46]ประจำค่ายอยู่สี่ที่ในแคว้นยูเฟรติส ได้แก่เมือง ฮานาฟิซ, ซูมัยล์, ซานิย์ และบริเวณที่ทหารมากที่สุดคือเมืองมูซัยยะฮ์ คอลิดจึงพยายามเลี่ยงสงครามแบบประชันชิดกับกองทัพเปอร์เซียและตัดสินใจบุกทำลายค่ายแต่ละค่ายในเวลากลางคืนโดยการแบ่งทหารเป็นสามหน่วย[51] แล้วจัดการกับกองทัพเปอร์เซียตอนกลางคืน โดยเริ่มที่มูซัยยะฮ์, ซานิย์ และซูมัยล์ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 633[52]
ชาวมุสลิมชนะชาวเปอร์เซียในการยึดเมโสโปเตเมียตอนล่างและเมืองทีไซฟอน (Ctesiphon) ที่ไม่มีทหารเฝ้าเมืองอยู่ ก่อนที่จะโจมตีเมืองหลวงของเปอร์เซีย คอลิดตัดสินใจว่าต้องจัดการทหารทางทิศใต้และตะวันตก พร้อมกับเคลื่อนทัพไปที่ชายเมืองฟิราซ แล้วรบชนะกองทหารผสมที่มีทหารเปอร์เซีย, ไบเซนไทน์ และอาหรับคริสเตียนพร้อมกับยึดป้อมปราการในสงครามฟิราซ ช่วงเดือนธันวาคม ค.ศ. 633[53] นี่จึงเป็นสงครามสุดท้ายเพื่อที่ครอบครองเมโสโปเตเมียตอนล่าง
ระหว่างที่อยู่ในอิรัก คอลิดได้ตำแหน่งผู้ว่าราชการทหารในบริเวณที่ครอบครอง[54]
หลังจากยึดแคว้นในจักรวรรดิเปอร์เซียได้แล้ว เคาะลีฟะฮ์อบูบักร์จึงมีรับสั่งให้ไปบุกรุกที่ซีเรีย โดยให้มีการแบ่งทหารเป็นสี่ส่วน แต่ละกลุ่มมีจุดหมายที่แตกต่างกัน ส่วนฝั่งไบเซนไทน์ได้รวบรวมทหารจากทุกค่าย[55] สิ่งนี้ทำให้ทหารมุสลิมไม่สามารถเดินแถวไปยึดซีเรียตอนกลางหรือเหนือได้[56]
เส้นทางที่จะไปซีเรียมีสองทาง โดยเส้นทางแรกเป็นทางไปเดามะตุลญันดัล (ปัจจุบันคือ ซะกากา) และอีกทางคือผ่านเมโสโปเตเมียทางเมืองรักกา ตอนนี้ทหารมุสลิมอยู่ที่ซีเรียแล้ว คอลิดจึงเลี่ยงเส้นทางไปเดามะตุลญันดัล เนื่องจากระยะทางไกลและใช้เวลาหลายสัปดาห์ที่จะไปถึงซีเรีย และเลี่ยงเส้นทางผ่านเมโสโปเตเมีย เพราะมีค่ายทหารโรมันอยู่ที่ซีเรียตอนเหนือและเมโสโปเตเมีย[57] คอลิดจึงเลือกทางไปซีเรียโดยผ่านทะเลทรายซีเรีย[58] และสั่งให้เดินขบวนผ่านทะเลทรายโดยไม่ต้องดื่มน้ำเป็นเวลาสองวัน[55] ก่อนที่จะถึงโอเอซิส คอลิดได้บอกให้พวกเขาเก็บน้ำไว้ใช้ในยามจำเป็น แล้วให้อูฐดื่มน้ำทันทีหลังจากไม่ได้ดื่มเป็นเวลานาน โดยอูฐจะเก็บน้ำไว้ในท้องของมัน ซึ่งจะทำให้พวกเขาอาจจะต้องฆ่าอูฐเพื่อที่จะเอาน้ำ ถ้าจำเป็น[58]
แผนที่แสดงเส้นทางที่คอลิดบุกรุกที่ซีเรียคอลิดเข้าไปที่ซีเรียในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 634 แล้วยึดเมืองซาวา อะรัก, ปัลมิยรา, อัลซุคนะฮ์ และสู้รบเพื่อยึดครองเมืองอัลกอรยาตัยน์ และฮุววาริน หลังจากนั้นจึงไปต่อที่บัสรา เมืองที่อยู่ใกล้ชายแดนซีเรีย-อารเบียและเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรคอสซานิด ประเทศราชของจักรวรรดิไบเซนไทน์ตะวันออก เขาข้ามเมืองดามัสกัสโดยการข้ามทางภูเขาเพื่อจะไปที่มะราจ อัลราฮาต เพื่อสู้กับพวกคอสซานิด[59]
เมื่อข่าวมาถึงคอลิดแล้ว อบูอุบัยดะฮ์จึงสั่งให้ชูรฮาบิล อิบน์ ฮาซานา หนึ่งในสี่แม่ทัพไปโจมตีเมืองบัสราโดยมีทหาร 4,000 นาย โดยที่ทหารไบเซนไทน์และอาหรับคริสเตียนไม่สามารถต้านทานได้[60] และยึดเมืองได้ในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 634 ทำให้ราชวงศ์คอสซานิดต้องถึงจุดจบ[61] หลังจากยึดเมืองบัสราได้แล้ว คอลิดจึงนำทหารทั้งหมดไปที่อัจนาดัยน์แล้วสู้กับทหารไบเซนไทน์ในวันที่ 30 กรกฎาคม ค.ศ. 634[62]
หลังจากทหารไบเซนไทน์พ่ายแพ้ในสงครามอัจนาดัยน์ คอลิดตัดสินใจยึดเมืองดามัสกัส ที่ยึดมั่นของทหารไบเซนไทน์ ในขณะเดียวกันที่ดามัสกัส โทมัส ลูกเขยของจักรพรรดิเฮราคลิอุส กำลังเสริมการป้องกันในเมือง[63] รู้ว่าคอลิดกำลังมาที่นี่ เขาจึงเขียนจดหมายไปยังจักรพรรดิเฮราคลิอุสเพื่อต้องการทหารเพิ่ม และที่มากกว่านั้น เขาต้องการที่จะหยุดการเดินทางของคอลิดโดยนำกองทัพออกไปรบ พร้อมกับแบ่งไปที่เมืองยากูซาและมาราจ อัส-ซัฟฟารในวันที่ 19 สิงหาคม.[64] โดยขณะเดียวกัน กองทัพของเฮราคลีอุสได้มาถึงดามัสกัสในวันที่ 20 สิงหาคม คอลิดจึงแยกกองทัพโดยให้ส่วนหนึ่งไปทางตอนใต้ (ทางไปปาเลสไตน์) ,ตอนเหนือ (ทางไปดามัสกัส-เอมีซา) และกองทัพเล็กๆ ไปที่ดามัสกัส ทหารของจักรพรรดิเฮราคลิอุสได้รู้เรื่องนี้แล้วเดินทางไปทางของคอลิดแล้วก่อสงครามที่ซานิตา อัลอุกอบ ซึ่งอยู่ห่างจากดามัสกัสไป 30 กม.[65]
คอลิดจึงสู้และยึดครองซีเรียในวันที่ 18 กันยายน ค.ศ. 634 หลังจากล้อมเมืองไป 30 วัน มีรายงานว่า ยุทธวิธีครั้งนี้อาจจใช้เวลาประมาณ 4 - 6 เดือน[66] จักรพรรดิเฮราคลีอุสได้ข่าวมาว่าเมืองซีเรียถูกยึดแล้ว จึงเหลือแค่เมืองแอนติออกในเอมีซา หลังจากสู้รบแล้ว คอลิดจึงใช้ทางลัดที่ไม่รู้จักเพื่อที่จะสู้รบกับกองทัพต่อ[67] โดยอยู่ห่างจากดามัสกัสทางตอนเหนือไป 150 กม. ในขณะเดียวกัน อบูบักร์เสียชีวิตในระหว่างสงครามดามัสกัส แล้วอุมัรกลายเป็นเคาะลีฟะฮ์คนต่อไป
เมนูนำทาง
คอลิด อิบน์ อัลวะลีด สมัยอบูบักร์ (ค.ศ. 632–634)ใกล้เคียง
คอลิด อิบน์ อัลวะลีด คอลิด บิน มัวะห์ซิน อัชชาอิรี คอลิด อิบน์ ซะอีด คอลิด เอซ่า คอลด์เวลล์ เอสเซลเตน คาลิด คอลิน เดลานีย์ คอลิน พอเวลล์ คาลิด อับดัลลา คอลเดอะแมนแหล่งที่มา
WikiPedia: คอลิด อิบน์ อัลวะลีด http://www.britannica.com/eb/article-9045249 http://www.meccabooks.com/342-khalid-bin-al-waleed... http://www.meccabooks.com/companions/648-khalid-bi... http://military.hawarey.org/military_english.htm //www.jstor.org/stable/1596048 http://www.witness-pioneer.org/vil/Books/SM_tsn/ch... //www.worldcat.org/oclc/36884186 https://books.google.com/?id=2aOpeBnbxvsC&pg=PA289... https://books.google.com/?id=VdXMK4CYRToC&pg=PR9#v... https://books.google.com/?id=VdXMK4CYRToC&printsec...